วิวัฒนาการการสร้างตารางธาตุ
โยฮันดน์ เดอเบอไรเนอร์ จัดธาตุเป็นกลุ่ม ๆ ละ 3 ธาตุ เรียกว่า ชุดสาม
และพบว่าธาตุกลาง
จะมีมวลอะตอมเป็นค่าเฉลี่ยของมวลอะตอมของธาตุแรกและธาตุหลังโดยประมาณ เช่น
Li มีมวล 6.9 Na มีมวล 23.0 K มีมวล 39.1
มวลอะตอม Na
= = 23
มีบางกลุ่มที่มวลอะตอมของธาตุตรงกลางไม่เท่ากับค่าเฉลี่ยของธาตุสองธาตุที่เหลือ
หลักชุดสามของเดอเบอร์ไรเนอร์จึงไม่เป็นที่ยอมรับ
จอห์น นิวแลนด์ส ได้เสนอกฎว่า
ถ้านำธาตุมาเรียงลำดับตามมวลอะตอมจะพบว่าธาตุที่
8 มีสมบัติคล้ายกับธาตุที่ 1 โดยเริ่มจากธาตุใดก็ได้
แต่ไม่รวมก๊าซเฉื่อย แต่กฎนี้ใช้ได้ถึงธาตุแคลเซียมเท่านั้น
และไม่สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดมวลอะตอมจึงมาเกี่ยวข้องกับความคล้ายคลึงกันของธาตุได้
เมนเดเลเอฟและไมเออร์
ได้ตั้งข้อสังเกตอย่างเดียวกันในเวลาใกล้เคียงกันว่าถ้าเรียงธาตุตามลำดับมวลอะตอมจากน้อยไปหามาก จะพบว่าธาตุมีสมบัติคล้ายคลึงกันเป็นช่วง
ๆ การที่ธาตุต่าง ๆ
มีสมบัติคล้ายคลึงกันเป็นช่วงเช่นนี้ เมนเดเลเอฟ ตั้งเป็นกฎเรียนว่า “กฎพีริออดิก” และได้เผยแพร่ความคิดนี้ในปี
พ.ศ. 2412 (ค.ศ. 1869) ก่อนที่ไมเออร์จะพิมพ์ผลงานของเขาออกมาหนึ่งปี
เพื่อให้เกียรติแก่เมนเดเลเอฟ จึงเรียกว่า ตารางพีริออดิกของเมนเดเลเอฟ
เมนเดเลเอฟได้จัดธาตุที่มีสมบัติคล้ายคลึงกันที่ปรากฏซ้ำกันเป็นช่วง ๆ
ให้อยู่ในแนวดิ่ง หรือในหมู่เดียวกันและพยายามเรียงลำดับมวลอะตอมของธาตุจาก
น้อยไปหามาก
ถ้าเรียงตามมวลอะตอมแล้วสมบัติไม่สอดคล้องกัน
ก็พยายามจัดให้เข้าหมู่โดยเว้นช่องว่างไว้
ซึ่งเขาคิดว่าช่องว่างเหล่านั้นน่าจะเป็นตำแหน่ง
ของธาตุที่ยังไม่มีการค้นพบ และยังได้ใช้สมบัติของธาตุและสารประกอบอื่น
ๆ
นอกเหนือจากคลอไรด์และออกไซด์มาประกอบการพิจารณาด้วย
โดยที่ตำแหน่งของธาตุในตารางธาตุมีความสัมพันธ์กับสมบัติของธาตุ เมนเดเลเอฟจึง
สามารถทำนายสมบัติของธาตุในช่องว่างใต้ซิลิคอนได้อย่างใกล้เคียงดังตาราง
1.6 โดยเขาให้ชื่อธาตุนี้ว่า
ธาตุเอคาซิลิคอน 15 ปีต่อมาวิงค์เลอร์จึงค้นพบธาตุนี้ ในปี พ.ศ.
2429 (ค.ศ. 1886) ซึ่งก็คือ ธาตุเจอร์เมเนียม
การเรียงธาตุตามวลอะตอมในตารางพีริออดิกของเมนเดเลเอฟนั้น
ถ้ายึดหลักการเรียงตามมวลอะตอมโดยเคร่งครัด
จะทำให้ธาตุบางธาตุอยู่ในหมู่เดียวกันมีสมบัติแตกต่างกันจึงต้องยกเว้นไม่เรียงตามมวลอะตอมบ้าง
แต่เมนเดเลเอฟก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องจัดเรียงธาตุเช่นนั้น
เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีความเข้าใจเรื่องโครงสร้างของอะตอมและไอโซโทป
นักวิทยาศาสตร์รุ่นต่อมาจึงเกิดแนวความคิดว่า
ตำแหน่งของธาตุในตารางธาตุไม่น่าจะขึ้นอยู่กับมวลอะตอมของธาตุ
แต่น่าจะขึ้นอยู่กับสมบัติอื่นที่มีความสัมพันธ์กับมวลอะตอม
เฮนรี โมสลีย์
พบว่าการเรียงธาตุตามลำดับเลขอะตอม
หรือจำนวนโปรตอนมีความสัมพันธ์กับสมบัติของธาตุนั้น และขึ้นอยู่กับการจัดเรียงตัวของอิเล็กตรอนในอะตอมของธาตุนั้น
ๆ
ตารางธาตุในปัจจุบัน
ตารางธาตุในปัจจุบันเรียงตามลำดับ
เลขอะตอมจากน้อยไปหามาก ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ใหญ่ ๆ ดังรูป
1. ธาตุในแต่ละหมู่และแต่ละคาบมีจำนวนไม่เท่ากัน
2. หมู่ A เรียกว่า ธาตุเรพรีเซนเตตีฟ
หมู่ B เรียกว่า ธาตุแทรนซิชัน เป็นธาตุที่อยู่ระหว่างหมู่ IIA และ IIIA 2. ธาตุทางซ้ายมือ
ของเส้นหนักเป็นขั้นบันได
มีสมบัติเป็นโลหะและธาตุทางขวาของเส้นจะเป็นอโลหะ
ส่วนธาตุที่อยู่ชิดเส้นแบ่งนี้จะเป็นธาตุกึ่งโลหะ คือ B , Si , Ge , As , Sb และ Te
2. ธาตุหมู่ A เลขประจำหมู่บ่งบอกถึงจำนวนเวเลนต์อิเล็กตรอน
เช่น หมู่ IA มีเวเลนต์อิเล็กตรอนท่ากับ 1 คือธาตุ Li Na
K Rb Cs Fr เป็นต้น
3.
ธาตุในคาบเดียวกันจะมีจนวนระดับพลังงานเท่ากัน เช่น
ธาตุคาบที่ 1 มีจำนวนระดับพลังงาน 1
ระดับได้แก่ ธาตุ H
He เป็นต้น
ประโยชน์ของการจัดอิเล็กตรอนในระดับพลังงานย่อย
1. จำนวนระดับพลังงานสูงสุดจะบอกถึงคาบ
2. ระดับพลังงานย่อยสุดท้ายของการจัดอิเล็กตรอน
หรือออร์บิทัลที่มีพลังงานสูงที่สุดจะบอกถึงเขต
(เขต s, p, d, f) ถ้าเป็นเขต s, p จะอยู่ในหมู่ A ของตารางธาตุ ถ้าเป็นเขต d, f จะอยู่ในหมู่
Bของตารางธาตุ
3. ถ้าเป็นธาตุในหมู่ A เวเลนซ์อิเล็กตรอนจะบอกถึงหมู่
(เวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ s+p)
4. ถ้าเป็นธาตุในหมู่ B นำจำนวนอิเล็กตรอนในระดับพลังงานย่อยสุดท้ายบวกกับจำนวน
อิเล็กตรอนในระดับพลังงานที่ถัดเข้ามา 1 ชั้น (s+d) จะเป็นตัวเลขของหมู่นั้น
แต่ถ้าบวกกัน ได้ 8 – 10 จะเป็นหมู่ VIII B ถ้าบวกกันได้ 11, 12 จะเป็นหมู่ I B และ II B ตามลำดับ
การอ่านชื่อธาตุที่มีเลขอะตอมมากกว่า
105 โดยระบุเลขอะตอมเป็นภาษาละติน
แล้วลงท้ายด้วย -ium
จำนวนนับในภาษาละตินมีดังนี้
0 = (nil) 1 = (un)
2 = (bi) 3 = (tri)
4 = (quad) 5 = (pent)
6 = (hex) 7 = (sept)
8 = (oct) 9 = (enn)
เช่น ธาตุที่ 105 อ่านว่า Unnilpentium สัญลักษณ์ธาตุ Unp
สมบัติตามตารางธาตุของหมู่และคาบ
สมบัติทางเคมีและทางกายภาพหลายประการของธาตุทั้งหลายในตารางธาตุซึ่งแปรเปลี่ยนไปตามเลขอะตอมที่เพิ่มขึ้นนั้นมีความสัมพันธ์กับการ
จัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอมของธาตุต่าง
ๆ
นักเรียนคิดว่าธาตุในหมู่หรือคาบเดียวกันจะมีขนาดอะตอม จุดหลอมเหลวและจุดเดือด พลังงานไอออไนเซชัน
อิเล็กโตรเนกาติวิตีและเลขออกซิเดชันเป็นอย่างไร
ขนาดอะตอม
ขนาดของอะตอมหาขอบเขตจำกัดได้ยาก
เนื่องจากอิเล็กตรอนโคจรรอบนิวเคลียสตลอดเวลาด้วยความเร็วสูงและไม่มีตำแหน่งที่แน่นอน
ดังนั้นขนาดอะตอมที่แน่นอนวัดกันไม่ได้ ในทางปฏิบัติจึงหาขนาดอะตอมด้วยรัศมีอะตอม
ซึ่งมีค่าเท่ากับครึ่งหนึ่งของระยะระหว่างนิวเคลียสของอะตอมคู่ที่สร้างพันธะต่อกันหรือที่อยู่ชิดกัน
การวัดรัศมีอะตอมสามารถวัดได้หลายวิธี
คือ
1.ถ้าอะตอมโลหะอยู่ชิดกันและยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโลหะ
ครึ่งหนึ่งของระยะระหว่างนิวเคลียสของอะตอมภายในผลึกโลหะเป็นรัศมีอะตอม
ที่เรียกว่า รัศมีโลหะ เช่น
โซเดียมมีรัศมีอะตอมเท่ากับ190 พิโกเมตร
2.ถ้าอะตอมสร้างพันธะโคเวเลนต์
ครึ่งหนึ่งของระยะระหว่างนิวเคลียสของอะตอมทั้งสองที่สร้างพันธะกัน
จะเป็นรัศมีอะตอม เรียกว่ารัศมีโคเวเลนต์ เช่น รัศมีอะตอมของคลอรีน ความยาวพันธะ = 198 พิโกเมตร รัศมีอะตอม = 99 พิโกเมตร
ถ้าโมเลกุล 2
โมเลกุลยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงแวนเดอร์วาลส์
ครึ่งหนึ่งของระยะระหว่างนิวเคลียสของอะตอมทั้งสองของแต่ละโมเลกุล
เป็นรัศมีอะตอมที่เรียกว่า รัศมีแวนเดอร์วาลส์ เช่น
คลอรีนเป็นโมเลกุลที่เป็นอะตอมคู่
จะมีทั้งรัศมีโคเวเลนต์ 99 พิโกเมตร
และ รัศมีแวนเดอร์วาลส์ 155 พิโกเมตร
เหตุผล ขนาดอะตอมใหญ่ขึ้นจากบนลงล่าง
เพราะธาตุในหมู่เดียวกัน เมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้นเป็นผลให้จำนวนโปรตอนในนิวเคลียสและ
จำนวนระดับพลังงานที่มีอิเล็กตรอนอยู่เพิ่มขึ้นด้วย
การที่เวเลนซ์อิเล็กตรอนอยู่ห่างนิวเคลียสมากขึ้น
เป็นผลให้ธาตุในหมู่เดียวกันมี
ขนาดอะตอมใหญ่ขึ้นตามเลขอะตอม
แสดงว่าการเพิ่มจำนวนระดับพลังงานมีผลมากกว่า การเพิ่มจำนวนโปรตอนในนิวเคลียส
เหตุผล ขนาดอะตอมของธาตุที่อยู่ในคาบเดียวกันจากซ้ายไปขวา เมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น (เลขอะตอมแสดงถึงจำนวนโปรตอนที่นิวเคลียส) เพราะธาตุในคาบเดียวกัน
มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนอยู่ในระดับพลังงานเดียวกัน แต่มีจำนวนโปรตอนในนิวเคลียสแตกต่างกัน
อิเล็กโทรเนกาติวีตี
อิเล็กโทรเนกาติวิตี คือ
ค่าความสามารถในการดึงอิเล็กตรอนของอะตอมที่รวมกันเป็น สารประกอบ
ธาตุที่มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวีตีสูงจะดึงอิเล็กตรอนดีกว่าธาตุที่มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวีตีต่ำกว่า พอลิง นักเคมีชาวอเมริกา
เป็นคนแรกที่ได้กำหนดค่าอิเล็กโตรเนกาติวีตีของธาตุขึ้น
แต่พอลิงไม่ได้คำนวณหาค่าอิเล็กโตรเนกาติวีตีของก๊าซเฉื่อยไว้
เพราะก๊าซเฉื่อยทำปฏิกิริยาเกิดเป็นสารประกอบได้ยาก
เลขออกซิเดชัน
เลขออกซิเดชัน (Oxidation number) เลขออกซิเดชัน เป็นค่าประจุไฟฟ้า
หรือประจุสมมุติของอะตอมหรือไอออนของธาตุ
โดยคิดจากจำนวนอิเล็กตรอนที่ให้หรือรับตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น
เมื่อธาตุต่าง ๆ
รวมกันเป็นสารประกอบธาตุที่ให้อิเล็กตรอน
จะมีเลขออกซิเดชันเป็นบวกและมีค่าเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอนที่ให้นั้น
ส่วนธาตุที่รับอิเล็กตรอน
จะมีเลขออกซิเดชันเป็นลบ และมีค่าเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอนที่รับนั้น
ตัวอย่างเช่น Zn เมื่อเกิดเป็นสารประกอบ
จะให้อิเล็กตรอน 2 ตัว กลายเป็น
Zn2+ ดังนั้นจึงมีเลขออกซิเดชัน +2
Na เป็น Na+
ให้อิเล็กตรอน
1 ตัว จึงมีเลขออกซิเดชัน = +1
Al เป็น Al3+ ให้อิเล็กตรอน
3 ตัว จึงมีเลขออกซิเดชัน = +3
Cl เป็น Cl-
รับอิเล็กตรอน
1 ตัว จึงมีเลขออกซิเดชัน = -1
O เป็น O2- รับอิเล็กตรอน
2 ตัว จึงมีเลขออกซิเดชัน = -2
การพิจารณาการให้หรือรับอิเล็กตรอน จะใช้เกณฑ์จากค่าอิเล็กโทนเนกาติวิตี ธาตุที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงกว่า จะเป็นฝ่ายรับอิเล็กตรอนในขณะที่ธาตุที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีต่ำกว่าจะเป็นฝ่ายให้อิเล็กตรอนโดยทั่วๆ ไป เมื่อใช้ค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีเป็นเกณฑ์ ธาตุที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีต่ำ จะมีเลขออกซิเดชันเป็นบวก
และธาตุที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงกว่า จะมีเลขออกซิเดชันเป็นลบ
วิธีคิดเลขออกซิเดชันในสารประกอบไอออนิก
เนื่องจากธาตุที่รวมกันเป็นสารประกอบไอออนิก
มีการให้และรับอิเล็กตรอน อย่างชัดเจน จึงแสดงค่าประจุไฟฟ้าที่ชัดเจน
ทำให้หาค่าของเลขออกซิเดชันได้ง่าย เช่น
Na ให้อิเล็กตรอน
1 อิเล็กตรอนแก่ Cl ทำให้เป็น Na+
และ Cl-
เพราะฉะนั้นเลขออกซิเดชันของ Na = +1 และ Cl = -1
วิธีคิดเลขออกซิเดชันในสารประกอบโคเวเลนต์
เนื่องจากธาตุที่มารวมกันเป็นสารประกอบโคเวเลนต์ มีแต่การใช้อิเล็กตรอนร่วมกันโดยไม่มีการให้หรือรับอิเล็กตรอน การพิจารณาเลขออกซิเดชัน จึงต้องพิจารณาจากจำนวนอิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกัน โดยถือว่า
อิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกันทั้งหมด เป็นของธาตุที่มี อิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงกว่า ซึ่งทำให้ธาตุดังกล่าวมีเลขออกซิเดชันเป็นลบ
พิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้
HCl มีการใช้อิเล็กตรอน
1 คู่ โดยที่ Cl มีอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงกว่า
H ดังนั้น
อิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกันจึงเปรียบเสมือนกับเป็นของ Cl ทำให้ได้อิเล็กตรอนเกิน 1 อิเล็กตรอน เลขออกซิเดชันของ Cl จึงเป็น -1 ในขณะที่ของ H เป็น +1
มีการใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 2
คู่ โดยที่ O
มีอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงกว่า C จำนวนอิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกันทั้งหมดจึงเป็นของ
O เท่ากับว่า O
ทางซ้าย ได้รับอิเล็กตรอนจาก C มา 2 อิเล็กตรอน ในทำนองเดียวกัน O ทางขวาก็รับอิเล็กตรอนจาก C
2 อิเล็กตรอน
ดังนั้น O แต่ละอะตอมจึงคล้ายกับได้รับ 2 อิเล็กตรอน
จึงมีเลขออกซิเดชันเป็น -2 ในขณะที่
C
เสียอิเล็กตรอน จึงมีเลขออกซิเดชันเป็น +4
จากวิธีการหาเลขออกซิเดชันดังกล่าว
จึงได้นำมาสรุปเป็นกฎเกณฑ์ดังนี้
เกณฑ์กำหนดค่าเลขออกซิเดชันของธาตุต่างๆ
1.ธาตุอิสระทุกชนิด มีเลขออกซิเดชัน = 0
ธาตุอิสระดังกล่าว ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของอะตอม หรือโมเลกุล ไม่ว่าจะมีกี่อะตอม
ในโมเลกุล เช่น Na , H2 , S8 , P4 ต่างก็มีเลขออกซิเดชันเป็น 0
2.เลขออกซิเดชันของไอออน = ประจุของไอออน
เช่น
Mg2+ มีเลขออกซิเดชัน = +2
Al3+ มีเลขออกซิเดชัน = +3
S2- มีเลขออกซิเดชัน = -2
3.เลขออกซิเดชันของธาตุบางชนิดในสารประกอบมีค่าเฉพาะตัวดังนี้
ก.
เลขออกซิเดชันของโลหะแอลคาไล ได้แก่ โลหะหมู่
IA เช่น Li , Na, K, Rb , ในสารประกอบมีค่าเท่ากับ +1
ข.
เลขออกซิเดชันของโลหะแอลคาไลน์เอิร์ท ได้แก่ โลหะหมู่ที่ IIA เช่น Mg
, Ba , C
ในสารประกอบมีค่าเท่ากับ +2
ค. เลขออกซิเดชันของออกซิเจน (O) ในสารประกอบทั่วไปมีค่าเท่ากับ
-2 ยกเว้น
- สารประกอบเปอร์ออกไซด์ เช่น H2O2
BaO2 Na2O2
O มีเลขออกซิเดชันเป็น -1
- สารประกอบซูเปอร์ออกไซด์ เช่น NaO2 KO2 O มีเลขออกซิเดชันเป็น -
ใน OF2 เป็น +2
ง. เลขออกซิเดชันของไฮโดรเจนในสารประกอบทั่วไปเป็น +1
ยกเว้น
ในสารประกอบไฮไดรด์ เช่น NaH, CaH2 , AlH2
, เป็น -1
4.ในไอออนที่ประกอบด้วยอะตอมมากกว่า 1 ชนิด “ผลรวมของเลขออกซิเดชัน
ของทุกๆ อะตอมเท่ากับประจุของไอออน” เช่น มีประจุ –2 หมายความว่า
นักเรียนนำเลขออกซิเดชันของ S 1 อะตอมบวกกับ O 4 อะตอมจะมีค่าเท่ากับ –2
ตัวอย่าง จงหาเลขออกซิเดชันของ
สมมติให้เลขออกซิเดชันของ Mn = X
เลขออกซิเดชันของ O = -2
4 อะตอมของ O มีเลขออกซิเดชันรวม =
-8
ผลรวมของเลขออกซิเดชันของอะตอมทั้งหมดในไอออนเท่ากับประจุของไอออน
ดังนี้
X + (-8) = -2
X = -2 + 8 = 6
เลขออกซิเดชันของ Mn = +6
5.ในสารประกอบใด ๆ ผลรวมของเลขออกซิเดชันของทุกอะตอมเท่ากับศูนย์ เช่น MgO
เลขออกซิเดชันของ Mg = +2 ของ O
= -2 รวมกันจะเท่ากับศูนย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น